ประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษา ย่อมขึ้นอยู่กับผู้บริหารเป็นสำคัญ ภายใต้ข้อจำกัดของการบริหารโรงเรียน เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้การปฏิบัติงานของผู้บริหารบรรลุผลตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนด คือ การพัฒนาผู้บริหารโรงเรียน ซึ่งการบริหารการศึกษาในสถานศึกษา เพื่อให้สถานศึกษาประสบผลสำเร็จและสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษานั้น ปัจจัยสำคัญต่อการเสริมสร้างการเรียนรู้ใน โรงเรียน คือ ระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และการมีส่วนร่วมวามร่วมมือในการปฏิบัติงาน ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และ ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาจึงมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในฐานะผู้นำหลัก ซึ่งมีภาระหน้าที่สำคัญ คือ เป็นผู้นำทางการศึกษา มีความรับผิดชอบในการบริหารงานด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมสร้างความก้าวหน้าของสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพตามนโยบายที่กำหนดไว้
กลุ่มที่ 5
งานวิจัย ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
งานวิจัย
เรื่อง : ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
การศึกษาระดับ : ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
ผู้วิจัย : ศศิตา เพลินจิต
ปีการศึกษา : 2558
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่1 : ปัญหาสำหรับผู้บริหารที่ยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับยุค ของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ประเด็นที่2 : ผู้บริหารขาดทักษะที่จาเป็นสาหรับการบริหารในองค์กรและ หน่วยงานที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้บริหารสถานศึกษา
ประเด็นที่3 : ผู้บริหารสถานศึกษาจึงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ จะต้องมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่21เพื่อหน่วยงานให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
ประเด็นที่4 : การพัฒนาทักษะของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะของผู้บริหาร
ประเด็นที่5 : ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1) เพื่อศึกษาทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการบริหารในศตวรรษที่21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.ผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารสถานศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดสำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 สามารถนำผลการวิจัยไปใช้เพื่อวางแผนการ
พัฒนา ผู้บริหารสถานศึกษา
2. ผลการวิจัยครั้งนี้ทำให้ทราบถึงทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาที่สามารถ
นำมาใช้กำหนดนโยบาย แนวทางในการพัฒนาสถานศึกษาต่อไป
3. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปฐมศึกษานครปฐม เขต 1-2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต 9 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดนครปฐมนาทักษะการบริหารของผู้
บริหาร สถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 เป็นแนวทางในการพัฒนาบุคลากรในสถานศึกษาต่อไป
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรต้น คือ ขนาดของสถานศึกษา ประกอบด้วย
3.1.1 สถานศึกษาขนาดเล็ก
3.1.2 สถานศึกษาขนาดกลาง
3.1.3 สถานศึกษาขนาดใหญ่
ตัวแปรตาม
ทักษะการบริหารในศตวรรษที่21ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย
3.2.1 ความยืดหยุ่นและการปรับตัว
3.2.2 การริเริ่มสร้างสรรค์และการเป็นตัวของตัวเอง
3.2.3 ทักษะด้านสังคมและทักษะข้ามวัฒนธรรม
3.2.4 การเป็นผู้สร้างหรือผลิตและรับผิดชอบเชื่อถือได้
นิยามศัพท์เฉพาะ
ผู้บริหารสถานศึกษา
ผู้ที่มีความสำคัญในการดำเนินงานทำหน้าที่กำกับ ควบคุม ดูแล บริหารและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ร่วมงานเพื่อ
ให้การดำเนินงานตามภารกิจของสถานศึกษาบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
ทักษะการบริหาร
ความรู้ความชำนาญความสามารถในการดำเนินกิจกรรม บริหารเพื่อให้การปฏิบัติงานบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างถูกต้องรวดเร็ว
ทักษะการบริหารของผู้บริหาร
ทักษะที่ผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นต้องมี การบริหารที่ใช้ศาสตร์และศิลปะทุกประการ หน้าที่ของผู้บริหารที่จะนำเอาเทคนิควิธี และกระบวนการบริหารที่ เหมาะสม มาใช้เกิดประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายของสถานศึกษา
สมมติฐานในการวิจัย
ทักษะการบริหารในศตวรรษที่21ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ที่มีขนาดสถานศึกษาต่างกันมีความแตกต่างกัน
วิธีการดำเนินการวิจัย
ประชากร
1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ปีการศึกษา 2557 จากสถานศึกษาทั้งหมด 125 แห่ง จำแนก เป็นสถานศึกษาขนาดเล็ก 52 แห่ง จำนวนประชากร 294 คน สถานศึกษาขนาดกลาง 65 แห่ง จำนวน
ประชากร907 คน และสถานศึกษาขนาดใหญ่ 8แห่ง จำนวนประชากร439 คนรวม ประชากรทั้งหมด 1,640 คน
กลุ่มตัวอย่าง
2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ปีการศึกษา 2557 ซึ่งการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดย ใช้
ตารางเครจซี่และมอร์แกน (Krejc & Morgan, 1970, pp. 607-610) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 โดยการสุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่ายแบบเป็นสัดส่วน ตามขนาดของสถานศึกษา ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 311 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม โดยแบ่งเป็น 2 ตอน คือ
ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามแบบตรวจสอบรายการ (checklist)
ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามทักษะผู้บริหารของสถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) ของลิเคอร์ท (Likert) เกี่ยวกับทักษะของผู้บริหาร
การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลโดย
3.1 นำหนังสือขอความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสำนักงานบัณฑิตศึกษาจากมหาวิทยาลัย
ราชภัฏกาญจนบุรีถึงผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อให้ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูล
3.2 ผู้วิจัยส่งแบบสอบถามไปยังโรงเรียน เพื่อแจกให้กับครูในโรงเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 311
ชุด โดยกำหนดเวลาในการตอบแบบสอบถามและกลับคืนให้ผู้วิจัยภายใน 7-15 วัน ทางไปรษณีย์และผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลเอง
กลุ่มที่ 6
งานวิจัย การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
งานวิจัย เรื่อง การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหาร สถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
การศึกษาระดับ : ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต (ปริญญาโท) มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
ผู้วิจัย : นัยนา เจริญผล
ปีการศึกษา : 2552
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 เป็นแนวทางสำคัญในการจัดระเบียบให้สังคมทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งครอบคลุมไปถึงฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายราชการ และฝ่ายธุรกิจ
ประเด็นที่ 2 ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยังยืนและเป็นส่วนเสริมความเข้มแข็งหรือสร้างภูมิคุ้มกัน
ประเด็นที่ 3 การพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพต้องอาศัยการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้รับการสนับสนุนส่งเสริมด้วยระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษา การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
2. เพื่อเปรียบเทียบการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น จำแนกตาม ประเภทการจัดการศึกษา และขนาดของสถานศึกษา
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผน ปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาการบริหารงานโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่นให้มีประสิทธิภาพ
2. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริม สนับสนุนปัจจัยในการบริหารงานโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น ให้สอดคล้องกับปัญหาและเหมาะสมกับสภาพความจำเป็น
3. เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการนิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินผล การดำเนินการบริหารงาน โดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตด้านเนื้อหา
การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษา การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น ตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 2542
ทั้ง 6 หลัก หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักความคุ้มค่า
ขอบเขตด้านประชากร และกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหารในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการ อาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น และครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น จำนวน 466คน
2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่ม ตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น ผู้บริหารในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น และครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น จำนวน 249 คน
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น /ตัวจัดกระทำ
1. ประเภทการจัดการศึกษา แบ่งเป็น
(1) กลุ่มวิทยาลัยเทคนิค, อาชีวศึกษา
(2) กลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ,สารพัดช่าง, เกษตร และเทคโนโลยี
2. ขนาดของสถานศึกษาจำแนกเป็น 2 ขนาดคือ
(1) ขนาดกลาง
(2) ขนาดใหญ่
ตัวแปรตาม
ได้แก่ ระดับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น 6 หลัก ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักความคุ้มค่า
สมมติฐานของการวิจัย
1. ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ที่ปฏิบัติงานในสถาบันอาชีวศึกษาที่มี
ประเภทการจัดการศึกษาต่างกันจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาล ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นต่างกัน
2. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติงาน ในสถานศึกษาที่มีขนาดต่างกัน
จะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาล ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นต่างกัน
นิยามศัพท์เฉพาะ
1. การบริหาร หมายถึง การใช้ศาสตร์และศิลป์ ในการใช้ทรัพยากร คน เงิน วัสดุ การจัดการมาดำเนินการในรูปลักษณ์ของกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล ซึ่งการบริหารในที่นี้หมายถึงการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น
2. หลักธรรมาภิบาล หมายถึง การบริหารจัดการทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อการพัฒนาของประเทศ โดยมีการเชื่อมโยงองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนของสังคม คือ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนสังคม ให้มีการสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์ ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจ สังคม การเมือง อย่างสมดุล ส่งผลให้สังคมดำรงอยู่กันอย่างสันติ ตลอดจนมีการใช้อำนาจในการพัฒนาประเทศชาติให้เป็นไปอย่างมันคง ยังยืน และมีเสถียรภาพ
3. การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษา หมายถึง ระดับการดำเนินการบริหารและการจัดการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น ตามอำนาจหน้าที่เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของผู้เรียน โดยยึดหลักใน 6 หลัก
4. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หมายถึง บุคลากรที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
5. สำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น หมายถึง หน่วยงานทางการศึกษาที่สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
6. ประเภทการจัดการศึกษา หมายถึง การแบ่งสถานศึกษาออกตามประเภทของการจัดการเรียนการสอน โดยแบ่งเป็น
1. กลุ่มวิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยอาชีวศึกษา
2. กลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ วิทยาลัยสารพัดช่าง วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหาร และครูผู้สอนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นโดยจำแนกดังนี้
ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 48 คน
ครูผู้สอน จำนวน 418 คน
รวม จำนวน 466คน
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างของผู้บริหารการศึกษาจากจำนวนประชากรเลือกมาทั้งหมด จำนวน 48 คนและครูผู้สอน ผู้วิจัยได้กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นโดยใช้ประเภทและขนาดของสถานศึกษาเป็นชั้นในการสุ่ม ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน249 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire)
ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำนวน1 ชุด แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ
ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถาม เกี่ยวกับสถานภาพ ของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ประกอบด้วย เพศ ตำแหน่งปัจจุบัน วุฒิการศึกษาสูงสุด ประสบการณ์ในการทำงาน ขนาดของสถานศึกษาที่สังกัด ประเภทของสถานศึกษา
ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า(Rating scale) 5 ระดับ คือ ระดับมากที่สุด ระดับมาก ระดับปานกลาง ระดับน้อย และระดับน้อยที่สุด
ระดับ 5 หมายถึง ระดับมากที่สุด
ระดับ 4 หมายถึง ระดับมาก
ระดับ 3 หมายถึง ระดับปานกลาง
ระดับ 2 หมายถึง ระดับน้อย
ระดับ 1 หมายถึง ระดับน้อยที่สุด
การดำเนินการวิจัย
เก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลมีขั้นตอนการดำเนินงานโดยขอหนังสืออนุญาตเก็บข้อมูลจากสำนักงานบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเลยถึงสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลขอหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น เพื่อขอความร่วมมือไปยังสถานศึกษาในสังกัด เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้บริหาร ครูปฏิบัติการสอนและบุคลากรทางการศึกษาผู้วิจัยส่งแบบสอบถามให้กับสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมแบบสอบถามพร้อมตรวจสอบความถูกต้องจากกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเองจำนวน249ฉบับได้รับคืน249ฉบับคิดเป็นร้อยละ100
สิ่งที่ได้รับและการนำไปประยุกต์ใช้
- ได้ความรู้เรื่องวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษา และสามารถนำไปปรับใช้ในการสอนและการทำวิจัยได้ด้วย
ประเมินตนเอง : แต่งกายถูกระเบียบ ตั้งใจฟังและตั้งใจเรียน มีส่วนร่วมในชั้นรียน
ประเมินเพื่อน : แต่งกายถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา และ ตั้งใจเรียน มีส่วนร่วมในชั้นเรียน
ประเมินอาจารย์ : มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เนื้อหาที่สอนเข้าใจง่าย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน และเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น
ประเมินห้องเรียน : ห้องเรียนสะอาดกว้าง บรรยากาศเหมาะสมกับการเรียน โต๊ะเพียงพอต่อจำนวนนักศึกษา